การขโมยของตามร้านค้าปลีกเป็นความผิดเล็กน้อยที่ลูกค้ากระทำอย่างไร้หลักศีลธรรมด้วยการขโมยอาหาร เครื่องสำอาง และน้ำหอม เสื้อผ้า และแน่นอนว่ารวมไปถึงแอลกอฮอล์จากชั้นวางของในร้านค้าด้วย อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลของสมาคมป้องกันการขโมยของในร้านค้าแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ระบุว่าผู้กระทำผิดส่วนใหญ่เป็นผู้เยาว์

ร้านค้าในสหรัฐฯ สูญเสียผลิตภัณฑ์ไปมูลค่ามากกว่า 13 พันล้านดอลลาร์ทุกปีโดยคิดเป็นมูลค่า 35 ล้านดอลลาร์ต่อวัน

นอกจากนี้ ตามสถิติของสหรัฐอเมริการะบุว่า 1 ใน 11 คนทำการลักเล็กขโมยน้อยจากร้านค้าใกล้บ้านของพวกเขา ในเวลาเดียวกัน สามารถจับผู้ขโมยของในร้านค้าได้เพียง 1 ใน 48 คน และมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่ไปแจ้งความในข้อหานี้*

การแก้ปัญหานี้ในประเทศรัสเซียยังคงห่างไกลจากเป้าหมายที่ต้องการ ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าสูญเสียมูลค่าการซื้อขายประจำปีไป 1−2% เนื่องจากการโจรกรรม และต้นทุนสุดท้ายมักจะถูกนำมาพิจารณาในราคาสินค้าซึ่งตกไปเป็นภาระของลูกค้าที่เป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่าย

โจรขโมยของตามร้านค้าปลีกในรัสเซียเป็นชายหนุ่มอายุ 20−35 ปี และมักจะทำงานร่วมกับผู้สมรู้ร่วมคิด นอกจากนี้ เรายังพบเห็นผู้หญิงทำการลักเล็กขโมยน้อยแม้ว่าจะมีจำนวนน้อยกว่าผู้ชาย และส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในร้านขายน้ำหอม เราได้เขียน เกี่ยวกับ 5 ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมที่กลุ่มนักขโมยของตามร้านค้าปลีกชอบโขมยกันในร้านค้าปลีกรายใหญ่ ๆ ของรัสเซียไปแล้ว

โจรขโมยของตามร้านค้าปลีกส่วนใหญ่อาจมองว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่เป็นเพียงการเล่นตลกเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง นี่เป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง และกฎหมายของสหพันธรัฐรัสเซียกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับการขโมยของในร้านค้า หากต้นทุนของสินค้าที่ถูกขโมยมามีมูลค่าต่ำกว่า 1,000 รูเบิล ผู้กระทำความผิดจะต้องอยู่ภายใต้มาตรการทางปกครอง แต่ถ้าสูงเกินกว่าจำนวนนี้ โจรขโมยของตามร้านค้าจะถูกดำเนินคดีทางอาญา ความจริงก็ คือ การบริหารร้านค้าปลีกสามารถทำการพิสูจน์ความจริงของการโจรกรรมได้ยากเนื่องจากบริการรักษาความปลอดภัยไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบลูกค้า และของใช้ส่วนตัวของลูกค้าได้หากลูกค้าไม่ยินยอมโดยสมัครใจ

โชคยังดีที่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการกำจัดการขโมยของในร้านค้าปลีก ซึ่งมาในรูปแบบของซอฟต์แวร์ที่ใช้เทคโนโลยีที่ใช้ในการระบุตัวตนด้วยใบหน้าสำหรับผู้ค้าปลีก ซึ่งช่วยจัดการกับการขโมยของในร้านค้าได้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ระบบนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้ค้าปลีกในรัสเซีย และยังคงมีการใช้กันแพร่หลายอย่างรวดเร็วในเครือร้านค้าปลีกเนื่องจากมีการพูดกันจากปากต่อปากในชุมชนผู้ค้าปลีกมืออาชีพ ซอฟต์แวร์นี้แสดงผลที่มีประสิทธิภาพสูง และสามารถคืนทุนได้อย่างรวดเร็ว

หลักการพื้นฐาน คือ การใช้เทคโนโลยีที่ใช้ในการระบุตัวตนเพื่อจดจำใบหน้าของโจรที่ขโมยของในร้านค้าจากการสตรีมมิ่งวิดีโอบนกล้องวงจรปิดของร้าน แล้วเพิ่มบุคคลเหล่านั้นเข้า่ไปในบัญชีดำเพื่อทำการตรวจสอบ

ระบบอาจตรวจไม่พบใบหน้าของผู้กระทำความผิดในฐานข้อมูลจากการโจรกรรมครั้งแรก แต่สิ่งที่เราทราบ คือ ความน่าจะเป็นที่โจรโขมยของอาจเดินทางกลับมาที่ร้านค้านั้นสูงมากซึ่งอยู่ที่ประมาณ 50% หากโจรคนนั้นปรากฏตัวอีกครั้ง บริการรักษาความปลอดภัยของร้านค้าจะได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับผู้ซื้อที่ไม่มีหลักศีลธรรมทันที จากนั้นพนักงานจะสามารถตรวจสอบพฤติกรรมของบุคคลนั้นได้อย่างใกล้ชิด และป้องกันการโจรกรรม การโน้มน้าวใจโจรโขมยของให้คืนสินค้าที่ถูกขโมยมานั้นทำได้ง่ายกว่ามากหากมีการบันทึกวิดีโอการก่ออาชญากรรม

คำพูดจากปากต่อปากใช้ได้ผลไม่ใช่เฉพาะกับผู้ค้าปลีกเท่านั้นแต่ข้อมูลดังกล่าวยังแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในกลุ่มคนที่หาผลประโยชน์จากความใจกว้างของผู้อื่นเช่นกัน ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้นี้ ร้านค้าที่มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดจะมีโจรขโมยจำนวนน้อยลงเรื่อย ๆ ดังนั้นเทคโนโลยีที่ใช้ในการระบุตัวตนด้วยใบหน้าจึงเป็นวิธีป้องกันการลักเล็กโขมยน้อยได้

*https://www.hg.org/legal-articles/facts-about-shoplifting-31291